ประเทศไทยก้าวเข้าสู่ “สังคมสูงวัย” ตั้งแต่ปี 2548 โดยสัดส่วนประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปสูงถึงร้อยละ 10 ของประชากรทั้งประเทศ และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นด้วยอัตราที่สูงกว่าร้อยละ 4 ต่อปี 1 ทำให้ประเทศไทยใช้เวลาไม่ถึง 20 ปี เปลี่ยนผ่านเข้าสู่ “สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ (Complete Aged Society)” ในปี 2567 โดยมีจำนวนประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไป 13.7 ล้านคน หรือคิดเป็นร้อยละ 20.8 ของประชากรทั้งประเทศ 2 และนำมาสู่ปัญหาสุขภาพที่สำคัญของผู้สูงอายุ หนึ่งในนั้นคือ “การพลัดตกหกล้ม” ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของภาวะกระดูกสะโพกหัก ที่ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตและอัตราการเสียชีวิตของผู้สูงอายุ
ผลกระทบทางเศรษฐศาสตร์
ภาวะกระดูกสะโพกหัก เป็นภาวะที่ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุ และมีอัตราการเสียชีวิตสูงถึง 10.20 ต่อประชากรผู้สูงอายุแสนคนในปี 2565 3 รวมถึงเป็นภาระค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของประเทศ ดังนั้น การพัฒนามาตรการป้องกันที่มีประสิทธิภาพจึงมีความสำคัญในการลดผลกระทบที่เกิดขึ้น
1 : รายงานสถานการณ์ผู้สูงอายุไทย 2558, มูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาผู้สูงอายุไทย, https://www.dop.go.th/download/statistics/knowledge_th_20172404121710_1.pdf
2 : การสำรวจประชากรสูงอายุในประเทศไทย พ.ศ. 2567 , สํานักงานสถิติแห่งชาต , https://www.nso.go.th/nsoweb/storage/survey_detail/2025/20241209145003_88327.pdf
3 : ข้อมูลมรณบัตร พ.ศ. 2558 – 2562. กองยุทธศาสตร์และแผนงาน สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข, https://ddc.moph.go.th/uploads/files/1660320210115094236.pdf
จาก "น่านโมเดล" สู่การขยายผลระดับประเทศ
จากความสำเร็จของน่านโมเดล จึงนำมาสู่เป็นที่มาของการผลักดันการขยายผลสู่การดำเนินการทั่วประเทศผ่าน “โครงการต้นแบบเพื่อสนับสนุนการพัฒนาระบบเฝ้าระวังและป้องกัน กระดูกหักและหักซ้ำบริเวณรอบข้อสะโพกในผู้สูงอายุไทย"
11 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดน่าน จังหวัดแพร่ จังหวัดชัยภูมิ จังหวัดศรีสะเกษ จังหวัดร้อยเอ็ด จังหวัดสมุทรสาคร จังหวัดระนอง จังหวัดนครศรีธรรมราช จังหวัดลำพูน จังหวัดสุพรรณบุรี และจังหวัดนครราชสีมา
2 เขตในกรุงเทพมหานคร ได้แก่ เขตบางกอกน้อย และเขตบางพลัด
เป้าหมายโครงการ
พัฒนาบุคลากรและอาสาสมัครให้เป็นต้นแบบในการป้องกันการหกล้ม
ออกแบบแนวทางป้องกันที่เหมาะสมกับแต่ละพื้นที่
จัดทำระบบติดตามและดูแลผู้สูงอายุที่เสี่ยงต่อการหกล้ม
ศึกษาผลกระทบทางเศรษฐศาสตร์ เพื่อวางแผนนโยบายสุขภาพที่ยั่งยืน
การดำเนินงาน
ออกแบบมาตรการป้องกัน ครอบคลุมทั้งในกลุ่มที่ยังไม่เคยกระดูกหัก (Primary Prevention) รวมถึงกลุ่มที่เคยกระดูกหักแล้ว เพื่อป้องกันการหักซ้ำ (Secondary Prevention)
ทดลองในผู้สูงอายุ 70 ปีขึ้นไป 34,000 คน แบ่งเป็น 2 กลุ่ม: กลุ่มทดลอง (ได้รับมาตรการป้องกัน) และ กลุ่มควบคุม
มาตรการสุขภาพสำหรับกลุ่มทดลอง เช่น ออกกำลังกายเพื่อเสริมความแข็งแรง, ประเมินความเสี่ยงการหกล้ม, ส่งเสริมโภชนาการ โดยเน้นแคลเซียมและวิตามินดี
พัฒนาสื่อความรู้ วิดีโอ, สื่อสิ่งพิมพ์, เว็บไซต์, แอพพลิเคชั่น เพื่อสื่อสารความรู้และแนวทางการดูแลตนเองตามความเสี่ยงของผู้สูงอายุ
ติดตามผลอย่างต่อเนื่อง การเยี่ยมบ้านและประเมินผล ทุก 3, 6, 9 และ 12 เดือน
เทคโนโลยีช่วยเข้าถึงข้อมูล แอพพลิเคชั่น "กระเป๋าสุขภาพ" สำหรับการติดตาม ประมวลผล และให้ข้อมูล ระหว่างผู้สูงอายุ อสม. อสส. และสถานบริการสาธารณสุข ในการวางแผนเฝ้าระวังและป้องกันได้อย่างเหมาะสม รวมถึงใช้ในการสื่อสารและประสานงานระหว่างทีมผู้ให้บริการสุขภาพแบบบูรณาการ ตั้งแต่ระดับปฐมภูมิ ไปจนถึง ระดับทุติยภูมิ
วิเคราะห์ต้นทุนโครงการ โดยใช้ข้อมูลจากโรงพยาบาล และสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เพื่อประเมินความคุ้มค่าในการดำเนินงาน
กุญแจสำคัญ
ในการสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ให้กับผู้สูงอายุไทย ในระยะยาว
ผลลัพธ์หลัก (Primary Outcome)
อุบัติการณ์ของกระดูกสะโพกหักจากการหกล้มลดลง
ผลลัพธ์รอง (Secondary Outcomes)
ด้านการหกล้มและบาดเจ็บ (Primary prevention)
ด้านร่างกายและคุณภาพชีวิต (Primary prevention)
ด้านการป้องกันและติดตามการหกล้มซ้ำ (Secondary Prevention)
ด้านต้นทุนและเศรษฐศาสตร์สุขภาพ
ลดการหกล้ม ลดภาวะกระดูกหัก ลดภาระค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของครอบครัวและประเทศ และเพิ่มคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุในระยะยาว